สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านจับมือพันธมิตรญี่ปุ่น เร่งยกระดับธุรกิจรับสร้างบ้านสู่มาตรฐานสากล
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านจับมือสมาคมรับสร้างบ้านญี่ปุ่น ลุยพัฒนา 3 ด้านหลัก การจัดงาน Exhibition ส่งเสริมด้านการตลาด การแลกเปลี่ยนข่าวสารเทคโนโลยี และการประสานงานภาครัฐและหน่วยงานด้านการศึกษาพัฒนาบุคลากรเพิ่มขีดความสามารถทางด้านงานก่อสร้าง มั่นใจช่วยยกระดับบริษัทรับสร้างบ้านสู่มาตรฐานสากล
นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง กับ Japan Traditional Wooden Home Association หรือ JTA ซึ่งเป็นสมาคมของบริษัทรับสร้างบ้านประเภทไม้ จากประเทศญี่ปุ่น โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างความร่วมมือกันทางธุรกิจในหลาย ๆ ด้านรวมถึงการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีระหว่างกันระหว่างผู้ประกอบการของทั้งสองสมาคมฯ และเรื่องของการพัฒนาฝีมือแรงงานซึ่งทางญี่ปุ่นให้ความสนใจค่อนข้างมาก เพราะในปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นกำลังขาดแคลนเรื่องแรงงานอยู่เป็นจำนวนมาก โดยการลงนามในข้อตกลงดังกล่าวประกอบไปด้วยเรื่องหลักๆ 3 หัวข้อซึ่งประกอบไปด้วย
1. ความร่วมมือทางด้านการพัฒนาทางด้านการจัดกิจกรรมระหว่างบริษัทของทั้งสองประเทศ อาทิ การจัดงาน Exhibition การจัดงานสัมมนา ตลอดจนการแลกเปลี่ยนทางด้านบุคลากรร่วมกัน
2. การแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูลข่าวสาร ทางด้านธุรกิจรับสร้างบ้าน เพื่อการพัฒนาภาพรวมของธุรกิจร่วมกัน
3. การพัฒนาและความร่วมมือทางด้านอื่น ๆ เพื่อให้เกิดศักยภาพสูงสุดกับธุรกิจรับสร้างบ้าน ระหว่างทั้งสองประเทศ รวมถึงความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ และสถาบันการศึกษาอื่นๆ
“เราเคยมีข้อตกลงกับ JTA มาเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วตอนนั้นเราร่วมกันทำโครงการ Business Study Tour and Technical Knowledge Exchange Event in Residential Construction Industry โดยการนำผู้ประกอบการญี่ปุ่นเข้ามาเยี่ยมชมสถานที่ก่อสร้างในประเทศไทยขณะเดียวกันทางเราก็มีการเดินทางไปดูงานที่ญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ก็จะมีความร่วมมือในการพัฒนาฝีมือแรงงานร่วมกันอีกโครงการหนึ่ง ซึ่งหลังจากนี้ความร่วมมือน่าจะมีความเข้มข้นและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น” นางศิริพร กล่าว
นางศิริพร กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันหลาย ๆ ธุรกิจมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ความร่วมมือในครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลให้ทั้งผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยสามารถพัฒนาความรู้ด้านต่างๆ ไปพร้อมๆ กันซึ่งนอกจากจะเป็นการยกระดับมาตรฐานของธุรกิจรับสร้างบ้านแล้ว ยังเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคที่จะได้บ้านระดับคุณภาพด้วยเช่นกัน